4 มิติที่ใช้วัด "สภาพคล่อง" ของแพลตฟอร์ม เทรดง่าย ไม่มีสะดุด

สภาพคล่อง (Liquidity) คือหัวใจสำคัญที่นักเทรดทุกระดับควรให้ความสำคัญ ยิ่งเทรดบ่อย ยิ่งสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างแพลตฟอร์มที่ ลื่น” กับแพลตฟอร์มที่ หน่วง” ได้ชัดเจน
 
หลายคนอาจคุ้นกับคำว่า มีผู้ให้บริการสภาพคล่องหลายเจ้า” แล้วคิดว่าเพียงพอ แต่ในความเป็นจริง สภาพคล่องมีหลายมิติที่สะท้อนอยู่ในการใช้งานจริงอย่างชัดเจน ทั้ง ความเร็วความกว้างความลึกและ ความยืดหยุ่น ซึ่งเมื่อนำมาพิจารณาร่วมกัน จะช่วยให้แยกแยะแพลตฟอร์มที่ดีออกจากแพลตฟอร์มทั่วไปได้ไม่ยาก
 
1. ความเร็ว ยิ่งเร็ว ยิ่งลดโอกาสสลิปเพจ

ในการเทรดผ่าน MT4 หรือระบบใด ๆ กระบวนการจับคู่คำสั่งจะต้องวิ่งไปถึงผู้ให้บริการสภาพคล่อง (LP) และรับราคากลับมา ก่อนจะแสดงเป็นการซื้อขายสำเร็จ ยิ่งรอบนี้ใช้เวลาน้อยเท่าไร ยิ่งสะท้อนถึงการเชื่อมต่อที่เสถียร และสามารถลดโอกาสเกิด สลิปเพจ” ได้ดีมากขึ้น
 
โดยทั่วไป การเชื่อมต่อจากฝั่งเอเชียไปยังสหราชอาณาจักร ใช้เวลาประมาณ 500 มิลลิวินาที (ms) ถือว่าเป็นค่ามาตรฐานของอุตสาหกรรม หากแพลตฟอร์มใดใช้เวลาน้อยกว่านี้ เช่น EBC ที่มีค่าเฉลี่ยเพียง 292–312ms ก็ถือว่าโดดเด่นในด้านความเร็ว ส่งผลให้โอกาสเกิด "สลิปเพจ (Slippage) " ต่ำลงมาก
 
2. ความกว้าง ราคาต่อเนื่อง ต้นทุนต่ำ

ความกว้างในที่นี้ หมายถึง ช่วงราคาที่สามารถเทรดได้ในแต่ละระดับ” ซึ่งไม่ใช่แค่ดู Spread เท่านั้น
 
ตัวอย่างเช่น EBC มีการเสนอราคาสำหรับ EUR/USD อยู่ ระดับ:
  • ระดับที่ 1: 0 จุด
  • ระดับที่ 2: 0.2 จุด
  • ระดับที่ 3: 0.4 จุด
  • ระดับที่ 4: 0.6 จุด
  • ระดับที่ 5: 0.8 จุด
ซึ่งหมายความว่า ต้นทุนสูงสุดของการเทรดคือ 0.8 จุดเท่านั้น ขณะที่แพลตฟอร์มทั่วไปมีระดับความกว้างสูงถึง 1.5 จุดในระดับเดียวกัน
 
ข้อดีของความกว้างที่ดี คือ ทำให้ราคามีความต่อเนื่องมาก โอกาสเกิดช่องว่างราคาน้อยลง เทรดแล้วไม่เจออาการ ราคากระโดด” หรือไม่มีราคารองรับ
 
3. ความลึก รับมือคำสั่งใหญ่ได้โดยไม่ลื่นไถล

"ความลึก" หมายถึง จำนวนของคำสั่งซื้อขายที่สามารถจับคู่ได้ในแต่ละระดับราคา
 
โดยปกติ ราคาที่ดีที่สุด (Top Tier) มักมีจำนวนคำสั่งน้อย เนื่องจากเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับต้นทุนของสถาบันการเงิน และจะมีการเสนอปริมาณคำสั่งจำกัด แต่เมื่อราคาห่างออกไป คำสั่งจะเพิ่มขึ้น
 
ตัวอย่างของ EBC:
  • ระดับที่ 1: 40 ล็อต
  • ระดับที่ 2: 50 ล็อต
  • ระดับที่ 3: 100 ล็อต
  • ระดับที่ 4: 150 ล็อต
  • ระดับที่ 5: 225 ล็อต 
รวมแล้วสามารถรองรับคำสั่งได้เกือบ 600 ล็อต ภายในช่วงราคา 0.8 จุด ขณะที่แพลตฟอร์มทั่วไปรองรับได้เพียง 300 ล็อตเท่านั้น
 
จุดสำคัญคือ: ยิ่งลึก = ยิ่งมีโอกาสเทรดในราคาที่ต้องการมากขึ้น และโอกาสเกิดสลิปเพจน้อยลง
 
แต่ต้องระวังว่าความกว้างและความลึกมักจะสวนทางกัน เช่น แพลตฟอร์มที่ให้ราคาต่อเนื่องแคบมาก อาจมีความลึกน้อย ถ้าจะเปรียบเทียบ ต้องใช้จำนวนระดับราคาที่เท่ากันเป็นฐานเปรียบเทียบ
 
4. ความยืดหยุ่น ราคาวิ่งแรงแค่ไหน ก็ยังรับมือได้

ความยืดหยุ่นของสภาพคล่อง คือ ความสามารถในการรองรับคำสั่งซื้อขายจำนวนมากในช่วงที่ตลาดผันผวน
 
เช่น ในช่วงที่มีข่าวแรง ๆ อย่างตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm Payrolls) ราคาอาจเคลื่อนไหวรุนแรง หากแพลตฟอร์มไม่มีสภาพคล่องสำรอง ก็จะเกิดสลิปเพจสูง
 
วิธีวัดความยืดหยุ่น คือ การดูค่ารวมของสลิปเพจโดยเฉลี่ย เช่น:
  • อุตสาหกรรมโดยทั่วไป: -0.1 จุด (สลิปเพจติดลบ)
  • EBC: +0.3 จุด (สลิปเพจบวก)
แสดงว่า EBC ไม่เพียงควบคุมสลิปเพจได้เท่านั้น แต่ยังให้ราคาดีกว่าตลาดในช่วงที่ราคาผันผวนอีกด้วย
 
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ EBC มีความยืดหยุ่นสูง เพราะเชื่อมต่อกับธนาคารและสถาบันการเงินระดับโลกถึง จาก 10 แห่งที่ครองส่วนแบ่งสภาพคล่องกว่า 60% ของโลก เช่น JPMorgan, Deutsche Bank, Citi, BofA, Barclays, Goldman Sachs, XTX เป็นต้น
 
สรุป

การประเมิน "สภาพคล่อง" ของแพลตฟอร์ม ไม่ควรดูแค่จำนวนผู้ให้บริการ แต่ควรพิจารณาจาก ปัจจัยสำคัญ ได้แก่:
  • ความเร็วในการจับคู่คำสั่ง
  • ความกว้างของช่วงราคาที่สามารถเทรดได้
  • ความลึกของคำสั่งในแต่ละระดับราคา
  • ความยืดหยุ่นในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน
 
เมื่อเข้าใจทั้ง มุมมองนี้แล้ว จะช่วยเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับกลยุทธ์และความเสี่ยงได้มั่นใจขึ้น

Comments

Popular posts from this blog

วิธีตรวจสอบโบรกเกอร์ให้ปลอดภัยด้วยใบอนุญาตจาก FCA

ต้นทุนแฝงในการเทรดมีอะไรบ้างและเราสามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?

2 วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าร่วมการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ