ในการเทรด forex เราจะมองหาโบรกเกอร์ที่มีความเสถียรได้อย่างไร?

ในการลงทุนในตลาด forex ความเสถียรของแพลตฟอร์มถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการเทรด ทั้งในด้านความแม่นยำของราคา การดำเนินคำสั่ง และความรวดเร็วในการฝากถอนเงิน หากแพลตฟอร์มขาดเสถียรภาพ ย่อมเพิ่มความเสี่ยงต่อความล่าช้า ความผิดพลาด หรือแม้แต่การสูญเสียโอกาสทางการเงิน
 
บทความนี้นำเสนอแนวทางการพิจารณาเลือกแพลตฟอร์มที่มีความเสถียรใน มิติหลัก ได้แก่ การดำเนินคำสั่ง ราคา ระบบ และการฝากถอน เพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
 
1. ความเสถียรของการดำเนินคำสั่ง (Execution Stability)
แพลตฟอร์มที่ดีควรสามารถดำเนินคำสั่งได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยไม่เกิดความล่าช้าหรือคำสั่งค้าง ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากปัจจัยต่อไปนี้:

1.1 ความเร็วเฉลี่ยในการประมวลผลคำสั่ง
โดยทั่วไป ความเร็วในการดำเนินคำสั่งจะมีความผันผวนเพียงเล็กน้อยในระดับหน่วยมิลลิวินาที หากพบว่าแพลตฟอร์มมีความเร็วที่ขึ้นลงไม่แน่นอน โดยเฉพาะหากเกินกว่า 200ms อาจทำให้เกิดปัญหาเช่น ออเดอร์ค้าง หรือส่งคำสั่งไม่ทันสถานการณ์
 
ตัวอย่างเช่น โบรกเกอร์ EBC มีความเร็วเฉลี่ยในการดำเนินคำสั่งอยู่ที่ 291.34ms ซึ่งเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่ราว 401.56ms และยังมีเสถียรภาพของระบบสูงถึง 98.75%
 
1.2 ความสามารถรองรับคำสั่งจำนวนมากพร้อมกัน (High Concurrency)
ในช่วงเวลาที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ เช่น รายงาน Non-Farm Payroll (NFP) แพลตฟอร์มที่มีระบบจัดการประสิทธิภาพสูงจะสามารถดำเนินคำสั่งได้ตามปกติ โดยไม่เกิดความล่าช้าหรือออเดอร์ตกหล่น
 
2. ความเสถียรของการเสนอราคา (Pricing Stability)
การเสนอราคาที่เสถียรเป็นผลลัพธ์ของการมีสภาพคล่อง (Liquidity) ที่เพียงพอ หากแพลตฟอร์มไม่สามารถจับคู่ราคาที่ดีได้ ก็อาจเกิดภาวะ สลิปเพจ” หรือความคลาดเคลื่อนของราคา

2.1 ค่าเฉลี่ยของสลิปเพจในสถานการณ์ปกติ
แพลตฟอร์มที่มีการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการสภาพคล่องหลายแห่ง จะสามารถเสนอราคาที่แม่นยำและลดความเสี่ยงจากสลิปเพจได้ โดยมาตรฐานของอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ ถึง 0.1 จุดสลิปเพจทางบวก

หากพบว่าเกิดสลิปเพจทางลบบ่อยครั้ง แม้ในช่วงตลาดปกติ ควรพิจารณาว่าแพลตฟอร์มนั้นมีความมั่นคงด้านสภาพคล่องหรือไม่

2.2 สลิปเพจในช่วงข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ
เป็นเรื่องปกติที่ราคาจะผันผวนสูงในช่วงข่าวเศรษฐกิจ แต่หากแพลตฟอร์มยังคงควบคุมระดับสลิปเพจให้อยู่ในระดับมาตรฐานได้ แสดงถึงความสามารถในการจัดการด้านสภาพคล่องได้อย่างดี
 
3. ความเสถียรของระบบ (System Stability)
แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเทรดในแต่ละออเดอร์ แต่หากระบบล่ม (System Down) ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงได้ ดังนั้น การมีระบบสำรองและแผนป้องกันภัยพิบัติ (Disaster Recovery) จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

ปัจจัยที่ควรพิจารณา ได้แก่:
  • จำนวนเซิร์ฟเวอร์: ควรมีเซิร์ฟเวอร์สำรองอย่างน้อย ตัวในแต่ละภูมิภาค
  • คุณภาพฮาร์ดแวร์: หากเซิร์ฟเวอร์สำรองมีระดับเดียวกับเซิร์ฟเวอร์หลัก จะสามารถรองรับงานแทนได้อย่างไร้รอยต่อ
  • ตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์: ควรอยู่ใกล้ศูนย์กลางการเงิน เช่น ลอนดอน (LD5), นิวยอร์ก (NY4), โตเกียว (TY3), ฮ่องกง (HK2) และสิงคโปร์ (SG1)

4. ความเสถียรในการฝากถอน (Funding Stability)
  • การฝากถอนเงินที่รวดเร็วและปลอดภัย เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของแพลตฟอร์มที่มีความโปร่งใสและมั่นคง
  • โดยทั่วไปแล้ว แพลตฟอร์มที่ได้มาตรฐานจะใช้เวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง ในการดำเนินการฝากถอน แม้ในกรณีที่เกิดความล่าช้าก็ไม่เกิน วัน แต่หากอยู่ในช่วงวันทำการ แพลตฟอร์มคุณภาพสูงมักใช้เวลาเพียง 24 ชั่วโมง
  • หากมีการยื่นคำร้องก่อนเวลา 16:00 น. ของวันทำการ EBC สามารถดำเนินการฝากเงินภายใน 10 นาที และถอนเงินภายใน ชั่วโมง
นอกจากนี้ การแยกบัญชีลูกค้าออกจากบัญชีของบริษัท และการใช้ช่องทางธนาคารที่ได้รับการรับรอง ยังเป็นหลักฐานของความปลอดภัยด้านการเงิน
 
สรุป: ความเสถียรคือรากฐานของความสำเร็จในการเทรด

แพลตฟอร์มที่ดีไม่เพียงแค่ให้ราคาดีหรือค่าใช้จ่ายต่ำ แต่ต้องสามารถมอบ ประสบการณ์การเทรดที่ราบรื่น มั่นคง และปลอดภัย” ให้แก่ผู้ใช้ในทุกสถานการณ์ ด้วยเหตุนี้ ความเสถียรในทุกด้านจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ผู้เทรดสามารถวางกลยุทธ์และตัดสินใจได้อย่างมั่นใจตลอดเวลา
 
หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่มีความเสถียรระดับมืออาชีพ การพิจารณาใน ด้านข้างต้นจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Comments

Popular posts from this blog

วิธีตรวจสอบโบรกเกอร์ให้ปลอดภัยด้วยใบอนุญาตจาก FCA

ต้นทุนแฝงในการเทรดมีอะไรบ้างและเราสามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?

2 วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าร่วมการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ