ทำไมบางครั้งถึงเกิด “สลิปเพจเชิงบวก” ในการเทรด?

เมื่อพูดถึง "สลิปเพจ" หรือความคลาดเคลื่อนของราคาขณะส่งคำสั่งซื้อขาย หลายคนมักจะนึกถึงแง่ลบทันที เพราะส่วนใหญ่เราจะเจอกับสลิปเพจเชิงลบ ซึ่งทำให้เราได้ราคาซื้อหรือขายที่แย่กว่าที่เห็นตอนกดคำสั่ง

แต่ จริงๆ แล้ว "สลิปเพจ" ไม่ได้มีแค่เชิงลบเท่านั้น เพราะยังมีอีกด้านหนึ่งที่เรียกว่า สลิปเพจเชิงบวก ที่อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกับเราอย่างคาดไม่ถึง

สลิปเพจเชิงบวกคืออะไร?

สลิปเพจเชิงบวก คือ การที่เราได้ ราคาที่ดีกว่าราคาที่เห็นตอนกดคำสั่ง เช่น เราตั้งใจจะซื้อที่ 1.1000 แต่กลับได้ราคาที่ 1.0998 แบบนี้เรียกว่า สลิปเพจเชิงบวก ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนเราลดลง หรือได้กำไรมากขึ้น

แต่คำถามคือ แล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

คำตอบอยู่ที่ "สภาพคล่อง" ของตลาด

ราคาที่เราเห็นในหน้าจอแพลตฟอร์ม (อย่าง MT4) ไม่ได้มาจากที่เดียว แต่เกิดจาก การรวมราคาจากผู้ให้บริการสภาพคล่อง หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า LP (Liquidity Provider) ผู้ให้บริการเหล่านี้ก็คือธนาคารหรือสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามาในระบบ เพื่อให้แพลตฟอร์มใช้จับคู่กับคำสั่งของเรา

แต่ราคาที่เห็นนั้น ไม่ใช่แค่ชั้นเดียว ในความจริงแล้วมี หลายชั้นของราคา หรือที่เรียกว่า ราคาหลายระดับ (price levels)
 
โครงสร้างราคาหลายระดับเป็นอย่างไร?

ลองนึกภาพว่าในตลาดมี ราคาดีที่สุด” อยู่ชั้นบนสุด และมีราคาถัดลงไปเป็นชั้น ๆ แบบนี้:
  • ระดับที่ 1ราคาที่ดีที่สุด (เช่น สเปรด จุด) แต่มีปริมาณจำกัด
  • ระดับที่ 2, 3, 4, 5ราคาจะมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยจากราคาระดับแรก และมีปริมาณมากขึ้น
เวลาเรากดเทรด ระบบจะดูว่ามีคำสั่งในระดับไหนบ้างเพื่อจับคู่คำสั่งกับเรา ถ้ามีคนเสนอขายในระดับ พอดี — เราก็ได้ราคาดีสุด = สลิปเพจเชิงบวก

แต่ถ้าไม่มี ต้องไปจับคู่ในระดับที่แย่กว่า ก็กลายเป็นสลิปเพจเชิงลบ

สลิปเพจเชิงลบ กับ เชิงบวก ต่างกันอย่างไร?

หากเราทำรายการที่ ราคาระดับ 2 ที่เห็นบน MT4 แต่ในเวลานั้นสภาพคล่องไม่เพียงพอ โบรกเกอร์จึงต้องใช้ราคาจาก ระดับ 3 ในการดำเนินการ เท่ากับว่าเราได้ราคาที่แย่ลง และ สลิปเพจเชิงลบ ก็เกิดขึ้น

ในทางกลับกัน หากโบรกเกอร์มีสภาพคล่องเพียงพอ และมีคำสั่งจากผู้ให้บริการสภาพคล่องที่ตรงกับ ราคาระดับ 1 การเทรดของเราก็จะดำเนินการที่ราคาที่ดีกว่าเดิม ซึ่งก็คือ เกิดสลิปเพจเชิงบวก
 
แล้วจะเลือกโบรกเกอร์อย่างไร ให้มีโอกาสได้สลิปเพจเชิงบวก?

จากที่เล่ามา จะเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสภาพคล่องในโบรกเกอร์ นั่นเอง

1. ดู จำนวน” และ คุณภาพ” ของผู้ให้บริการสภาพคล่อง
  • ยิ่งเชื่อมต่อกับหลายแห่ง ก็ยิ่งมีตัวเลือกในการจับคู่คำสั่งมากขึ้น
  • เช่น โบรกเกอร์อย่าง EBC เชื่อมต่อกับ 36+ สถาบันการเงิน ขณะที่ค่าเฉลี่ยในวงการอยู่ที่แค่ 7–8 รายเท่านั้น
  • ที่สำคัญ คือคุณภาพของแหล่งที่เชื่อมต่อด้วย  โดยปัจจุบัน 70% ของสภาพคล่องในโลกถูกควบคุมโดย 10 ธนาคารชั้นนำ ถ้าโบรกเกอร์ไหนเชื่อมต่อกับธนาคารเหล่านี้มากเท่าไร คุณภาพของราคาก็จะดีขึ้น 
2. ดู ความลึกของราคา” (Depth of Market)
  • ความลึก หมายถึง จำนวนระดับของราคาที่แพลตฟอร์มสามารถแสดงและจับคู่คำสั่งได้
  • โดยทั่วไปแพลตฟอร์มส่วนใหญ่มักมีเพียง 2-3 ระดับราคาเท่านั้น หากเกินกว่านี้จะเริ่มมีการ ขาดช่วง” ของราคา
  • แต่แพลตฟอร์มที่มี ระดับ อย่าง EBC ก็จะช่วยรองรับคำสั่งได้มากถึง 700 ล็อต (เทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมที่อยู่แค่ 250-350 ล็อตเท่านั้น) ดังนั้น ทำให้ช่วยลดความผันผวนจากช่องว่างของราคาได้ดีกว่า
ระดับราคาของ EBC

สรุป: ทำไมสลิปเพจเชิงบวกถึงสำคัญ?

หากเราเลือกโบรกเกอร์ที่มีสภาพคล่องดี มีการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการสภาพคล่องหลายราย และระบบจัดการราคาหลายระดับได้ดี เราก็มีโอกาสสูงที่จะได้ราคาที่ดีกว่าที่คาดไว้

โดยสลิปเพจเชิงบวกไม่เพียงแค่ช่วยลดต้นทุนในการเทรดเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มผลกำไรในระยะยาวแบบไม่รู้ตัว

เพียงแค่เข้าใจกลไกราคา และรู้จักเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม การเทรดของเราก็จะมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากขึ้น

Comments

Popular posts from this blog

วิธีตรวจสอบโบรกเกอร์ให้ปลอดภัยด้วยใบอนุญาตจาก FCA

ต้นทุนแฝงในการเทรดมีอะไรบ้างและเราสามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?

2 วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าร่วมการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ