ทำไมการเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่มีเสถียรภาพจึงสำคัญ?
เมื่อเราต้องเลือกโบรกเกอร์สำหรับการเทรด หลายคนมักให้ความสำคัญกับค่าธรรมเนียมที่ต่ำเป็นหลัก ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่หลายคนมักมองข้ามคือความเสถียรภาพของโบรกเกอร์ ซึ่งก็เป็นปัจจัยที่ไม่แพ้กันเลย
วันนี้เรามาดูกันว่าความเสถียรภาพนั้นส่งผลอย่างไรบ้างต่อโบรกเกอร์
1. ความเสถียรของโบรกเกอร์มีผลต่อการดำเนินคำสั่งซื้อขาย
ลองนึกภาพว่าเราส่งคำสั่งซื้อขายไปแล้ว แต่แพลตฟอร์มเกิดค้าง หรือคำสั่งไม่ถูกดำเนินการในเวลาที่ต้องการ ปัญหานี้มักเกิดขึ้นกับโบรกเกอร์ที่ขาดความเสถียร และอาจนำไปสู่ปัญหาหนักกว่านั้น เช่น การสูญหายของข้อมูลหรือระบบล่มในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวเร็ว
หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญเมื่อประเมินโบรกเกอร์คือ อัตราการเชื่อมต่อใหม่หลังจากการขาดการเชื่อมต่อ (Reconnection Rate) ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของฮาร์ดแวร์และระบบของโบรกเกอร์
ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรม Forex โดยเฉลี่ยมีอัตราการขาดการเชื่อมต่อประมาณ 0.3 ครั้งต่อวัน และใช้เวลา 200-300 มิลลิวินาทีในการเชื่อมต่อใหม่ ซึ่งอาจดูเหมือนไม่มาก แต่ถ้าเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง อาจทำให้คำสั่งซื้อขายล่าช้าและทำให้เราพลาดโอกาสที่ดีได้
ในทางกลับกัน โบรกเกอร์ EBC มีอัตราการขาดการเชื่อมต่อเฉลี่ยเพียง 0.1 ครั้งต่อวัน และใช้เวลาเชื่อมต่อใหม่แค่ 67.45 มิลลิวินาที ซึ่งทำให้เสถียรภาพของราคาดีกว่ามาก
ดังนั้น หากโบรกเกอร์ที่คุณใช้อยู่มีปัญหาหลุดบ่อยและใช้เวลานานในการเชื่อมต่อใหม่ อาจถึงเวลาต้องพิจารณาหาโบรกเกอร์ที่เสถียรกว่า
2. ความเสถียรของโบรกเกอร์มีผลต่อสภาพคล่องของตลาด
Slippage คือภาวะที่คำสั่งซื้อขายถูกดำเนินการในราคาที่แตกต่างจากราคาที่เรากำหนดไว้ หลายคนคิดว่าเกิดจากสภาพคล่องของตลาดเพียงอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้ว โบรกเกอร์ที่ไม่มีเสถียรภาพก็เป็นสาเหตุได้
เมื่อเราส่งคำสั่งซื้อขายไปยัง MT4 แพลตฟอร์มจะต้องใช้ FIX API เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการสภาพคล่อง หากการเชื่อมต่อล่าช้าหรือไม่เสถียร คำสั่งของเราก็อาจถูกดำเนินการช้ากว่าปกติ หรือในราคาที่แตกต่างออกไป
โบรกเกอร์ที่มีโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ดี และตั้งอยู่ใกล้กับผู้ให้บริการสภาพคล่องจะช่วยลดโอกาสเกิดความล่าช้าได้มาก อย่างเช่น EBC ซึ่งวางเซิร์ฟเวอร์ไว้ในศูนย์ข้อมูลเดียวกับผู้ให้บริการสภาพคล่องและใช้ฮาร์ดแวร์ระดับสูงสุด (Tier 4) ทำให้สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้เร็วขึ้น และลดปัญหา Slippage อีกทั้งในปัจจุบัน EBC เชื่อมต่อกับ 36+ ธนาคารและผู้ให้บริการสภาพคล่องชั้นนำโดยตรง ทำให้มีความได้เปรียบทั้งในแง่ของเสถียรภาพและคุณภาพของราคาซื้อขาย
โดยเฉลี่ยแล้ว โบรกเกอร์ทั่วไปอาจมี Slippage ประมาณ 0 ถึง -0.1 จุดในช่วงตลาดผันผวน แต่ EBC สามารถให้ Slippage บวกได้ถึง 0.3 จุด แม้ในช่วงที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวสูง
หากโบรกเกอร์ที่คุณใช้มีปัญหา Slippage บ่อย ๆ อาจเป็นปัญหาที่เกิดจากการขาดเสถียรภาพของระบบ
3. ความเสถียรของโบรกเกอร์มีผลต่อความปลอดภัยของเงินทุน
ความปลอดภัยของเงินทุนไม่ใช่แค่การมีบัญชีเงินฝากแยกจากบริษัทเท่านั้น แต่เสถียรภาพของโบรกเกอร์ก็มีผลต่อการฝาก-ถอนเงินเช่นกัน
แม้ว่าการฝาก-ถอนเงินจะดำเนินการผ่านธนาคาร แต่โบรกเกอร์จะต้องเป็นตัวกลางในการส่งคำสั่งไปยังธนาคาร หากแพลตฟอร์มไม่เสถียร อาจทำให้ข้อมูลระหว่างโบรกเกอร์และธนาคารไม่ตรงกัน ส่งผลให้ธุรกรรมล่าช้าได้
หากคุณพบว่าโบรกเกอร์ที่ใช้อยู่มีปัญหาฝาก-ถอนเงินล่าช้าบ่อย ๆ นอกจากต้องเช็กว่ามีการจัดการบัญชีเงินทุนแยกต่างหากหรือไม่ ก็ควรพิจารณาถึงเสถียรภาพของโบรกเกอร์เองด้วย
โบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวดมักจะมีเสถียรภาพสูงกว่าและมีระบบตรวจสอบที่รัดกุม เช่น EBC ที่ได้รับการกำกับดูแลจาก FCA (อังกฤษ), ASIC (ออสเตรเลีย) และ CIMA (หมู่เกาะเคย์แมน) ซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่เข้มงวด
EBC สามารถดำเนินการฝากเงินได้ในเวลาเพียง 10 นาที และถอนเงินได้เร็วสุด 3 ชั่วโมงในวันทำการ ซึ่งช่วยลดปัญหาการล่าช้าในการทำธุรกรรม
สรุป
เสถียรภาพของโบรกเกอร์มีผลต่อทุกด้านของการเทรด ตั้งแต่การดำเนินคำสั่งซื้อขาย สภาพคล่อง ไปจนถึงความปลอดภัยของเงินทุน ไม่ว่าค่าธรรมเนียมจะต่ำแค่ไหน หากโบรกเกอร์ไม่มีเสถียรภาพ ก็อาจทำให้เราเสียโอกาสในการทำกำไร หรืเสี่ยงต่อเงินทุนของเราเอง
ดังนั้น การเลือกโบรกเกอร์ที่ดีจึงไม่ใช่แค่เรื่องของต้นทุน แต่ต้องพิจารณาเสถียรภาพของระบบด้วย เพื่อให้เราสามารถเทรดได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากที่สุด
Comments
Post a Comment