วิเคราะห์ EBC Gold Market Yearbook : การคาดการณ์แนวโน้มทองคำในปี 2025 และกลยุทธ์การจัดสรรเงินลงทุน
ในปี 2024 ที่ผ่านมา ราคาทองคำขึ้นไปแตะถึง 2,800 ดอลลาร์ ส่งผลให้ตลาดที่เงียบเหงามานานกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
จากการทำสถิติพบว่าเมื่อปีที่แล้วทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่มากกว่า 40 ครั้ง ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ทำให้รู้สึกว่าหลายครั้งที่เราคิดว่าทองคำจะไปถึงจุดสูงสุดแล้วแต่เมื่อทำการขายทำกำไรในระยะสั้นกลับพบว่าราคาทองคำยังไม่ถึงจุดสูงสุดเลย
เห็นได้ชัดเลยว่าผู้ที่ชนะในปี 2024 คือคนที่ทำการซื้อทองคำและถือไว้ตลอด
แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2025 ทองคำกลับเริ่มแสดงแนวโน้มการเคลื่อนไหวในลักษณะการรวมตัว ดังนั้นในปี 2025ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ควรลงทุนอยู่หรือไม่? ในช่วงเวลานี้เราควรให้ความสำคัญกับปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในทองคำ ดังนี้
1. ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั่วโลก
ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยหลายอย่างที่ขับเคลื่อนทองคำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าธนาคารกลางเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
จาก EBC Gold Market Yearbook พบว่าในปี 2024 ธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มการถือครองทองคำเป็นปีที่ 17 ติดต่อกัน และในปีเดียวกันนี้การขายทองคำของธนาคารกลางลดลงเป็นครั้งแรกในหลายปี ส่วนในปี 2023 การสำรองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกได้ทะลุ 1 พันล้านออนซ์เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นปริมาณทองคำที่มากจนไม่มีองค์กรหรือผู้ลงทุนรายย่อยใดสามารถเทียบเคียงได้
ดังนั้น หากในปี 2025 ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเพิ่มการถือครองทองคำต่อไป แนวโน้มของทองคำก็จะยังคงเป็นไปในทิศทางที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแทบจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจโต้แย้งได้
สิ่งที่น่าสนใจคือ ใน EBC Gold Market Yearbook ได้ระบุว่าปัจจุบันมีความแตกต่างในการซื้อทองคำระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา โดยประเทศกำลังพัฒนากลับมีบทบาทในการซื้อทองคำมากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว
นอกจากนี้ สิ่งที่เราควรให้ความสนใจมากขึ้นคือการให้ความสำคัญของธนาคารกลางในประเทศตลาดเกิดใหม่ต่อทองคำ
2. ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐฯ
แนวโน้มของทองคำมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้าม และในปัจจุบันที่ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการกำหนดราคา ซึ่งคือความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น
ตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ตั้งเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่ 2% เป็นจุดยึดสำหรับนโยบาย ดังนั้นในปี 2025 ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงพิจารณาอัตราเงินเฟ้อในการตัดสินใจลดดอกเบี้ย รักษาอัตราดอกเบี้ยให้คงที่ หรือแม้กระทั่งเพิ่มดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ในปี 2025 การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้ผลกระทบต่อทองคำซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยในระยะสั้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในขนาดใหญ่ของทรัมป์จะผลักดันให้เกิดอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นในเวลาระยะสั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจชะลอการลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อทองคำ
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์มักมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนนโยบายที่เอื้อต่อการอ่อนค่าของดอลลาร์ และในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงดำเนินนโยบายการหดตัวในด้านภูมิศาสตร์ ดังนั้นในระยะยาว นโยบายเหล่านี้ยังคงเป็นปัจจัยหลักในการสนับสนุนทองคำ
ใน EBC Gold Market Yearbook ยังมีการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สะท้อนอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐและทองคำ ซึ่งมักมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่สวนทางกัน โดยการเปลี่ยนแปลงนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นจะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
3. ให้ความสนใจกับพฤติกรรมราคาทองคำ
พฤติกรรมราคาทองคำก็มีข้อมูลหลายอย่างที่สามารถบอกได้เช่นกัน
หากคุณคุ้นเคยกับการวิเคราะห์ตลาดจากมุมมองในระดับใหญ่ คุณจะพบว่าทิศทางของทองคำนั้นค่อนข้างเข้าใจง่าย เพราะทองคำมีลักษณะวัฏจักรที่เด่นชัด ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย ทองคำจะได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะเมื่อผลตอบแทนจากสินทรัพย์อื่น ๆ เริ่มฟื้นกลับมา ตลาดจะเริ่มขายทองคำในปริมาณหนึ่ง ซึ่งกระบวนการนี้เป็นวงจรที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
เมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2024 สามารถสังเกตได้ว่าจริง ๆ แล้วทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้นตลอดเวลา โดยหลังจากการปรับฐานและการถอยลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตอนนี้ทองคำเริ่มทดสอบแนวรับของช่องทางขาขึ้นแล้ว
ดังนั้นระดับราคาปัจจุบันจึงค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะทองคำอาจกำลังเลือกทิศทาง หากยืนยันการได้รับการสนับสนุน ทองคำก็อาจจะขึ้นไปอีกและทำสถิติสูงสุดใหม่
ส่วนการเลือกทิศทางนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการผลักดันจากเหตุการณ์ที่เป็นตัวเร่ง ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดต่อปัจจัยที่มีผลกระทบต่อตลาดทองคำ
ตัวอย่างเช่นใน EBC Gold Yearbook ได้กล่าวถึงว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การจัดหาทองคำครั้งที่สอง, ต้นทุนการขุดทอง, และตำแหน่งที่ยังเปิดอยู่ของสถาบันต่าง ๆ ล้วนมีผลกระทบต่อราคาทองคำ ปัจจัยเหล่านี้ในมุมมองที่ละเอียดสามารถช่วยให้เราเข้าใจปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทองคำได้ดียิ่งขึ้น
4. เลือกโบรกเกอร์ที่มีต้นทุนต่ำ
ก่อนหน้านี้เราได้พูดถึงประเด็นที่สำคัญในการเทรดทองคำ แต่เมื่อพูดถึงการลงมือเทรดจริง ๆ การเลือกโบรกเกอร์ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ไม่ว่าจะเป็นสเปรดในการเทรดระยะสั้นหรือดอกเบี้ยข้ามคืนสำหรับการเทรดระยะยาว ทั้งสองปัจจัยนี้ล้วนมีผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ของการเทรดของเรา
ปัจจุบัน สเปรดทองคำจากโบรกเกอร์ต่าง ๆ จะอยู่ที่ประมาณ 2.8-3.2 หรือถ้าเทรด 1 lot จะมีต้นทุนประมาณ 28-32 ดอลลาร์ ส่วนดอกเบี้ยข้ามคืนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 18-24 ดอลลาร์ ซึ่งถ้าถือ 1 lot จะต้องจ่ายดอกเบี้ยข้ามคืนประมาณ 18-24 ดอลลาร์ สิ่งที่ต้องระวังคือ หากถือสถานะข้ามคืนในวันพุธ จะต้องจ่ายดอกเบี้ยข้ามคืนสามเท่า ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการถือสถานะข้ามคืนในวันที่ดังกล่าว
เมื่อเรามีเกณฑ์นี้แล้วสิ่งที่เราต้องทำคือเปรียบเทียบกับโบรกเกอร์ที่เราใช้ หากมีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี
อย่างเราใช้โบรกเกอร์ EBC โดยเฉลี่ยแล้วสเปรดทองคำอยู่ที่ประมาณ 1.6-2.1 และดอกเบี้ยข้ามคืนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10.8-12.3 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอย่างมาก ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างดีเลย
โดยรวมแล้ว ทองคำจะสามารถครองตลาดต่อไปในปี 2025 ได้หรือไม่นั้นก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนในขณะนี้
เราไม่จำเป็นต้องทำนายทิศทางที่อาจเกิดขึ้น เพียงแค่ให้ความสำคัญกับแนวโน้มและข้อมูลข่าวสารในตลาด มองในแง่บวกเกี่ยวกับความเสถียรและการทะลุผ่านจุดราคาของทองคำ เชื่อว่าเราทุกคนสามารถจับทิศทางการเทรดทองคำในปี 2025 ได้อย่างแน่นอน




Comments
Post a Comment