5 เหตุผลที่ทำให้ FCA ของสหราชอาณาจักรเป็นหน่วยงานกำกับดูแลที่เข้มงวดและน่าเชื่อถือที่สุดในโลก
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม FCA ของสหราชอาณาจักรถึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหน่วยงานกำกับดูแลที่เข้มงวดและน่าเชื่อถือที่สุดในโลก วันนี้เราจะมาอธิบายถึงเหตุผล 5 ข้อที่ทำให้ FCA มีความโดดเด่นและแตกต่างจากหน่วยงานกำกับดูแลอื่น ๆ ทั่วโลกกัน
1. การกำกับดูแลตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สิ่งที่สำคัญต้องรู้คือ การกำกับดูแลทางการเงินมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการพัฒนาทางการเงินของแต่ละประเทศ
สำหรับอุตสาหกรรมการเทรด ลอนดอนเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญที่สุดของโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 1.819 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 34% ของการซื้อขายทั่วโลก ซึ่งมากกว่าญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริการวมกัน นอกจากนี้ ลอนดอนยังเป็นศูนย์กลางการซื้อขายตราสารอนุพันธ์และทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก FCA ซึ่งรับผิดชอบการกำกับดูแลตลาดเหล่านี้ จึงต้องมีมาตรการที่เข้มงวดและครอบคลุมเพื่อให้ตลาดมีความมั่นคงและปลอดภัย
การกำกับดูแลตลาดที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย FCA ต้องมีการตรวจสอบและควบคุมบริษัททางการเงินจำนวนมาก เพื่อให้แน่ใจว่าทุกบริษัทปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ทั้งในด้านการบริหารความเสี่ยง การบริหารจัดการเงินทุน และการปกป้องสิทธิของนักลงทุน
2. รูปแบบการกำกับดูแลที่ทันสมัยและล้ำหน้า
FCA เป็นหน่วยงานแรกที่นำแนวคิด “Twin Peaks Regulation” มาใช้ ซึ่งเน้นการแยกบทบาทระหว่างการกำกับดูแลด้านความมั่นคงทางการเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค การแบ่งหน้าที่นี้ช่วยให้การกำกับดูแลมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการความเสี่ยงของระบบการเงิน
ปัจจุบันตามข้อกำหนดของ FCA การแยกเงินทุนออกจากกันมีอยู่ 4 วิธีหลัก แต่ส่วนใหญ่แล้วโบรกเกอร์จะเลือกใช้วิธีที่สาม นั่นคือการใช้ธนาคารที่ได้รับอนุญาตจากประเทศที่สาม
สิ่งที่สำคัญคือ เนื่องจากสหราชอาณาจักรต้องปฏิบัติตามกรอบกฎหมาย MiFID II จึงต้องสร้างความสะดวกในการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจอื่น ๆ ซึ่งทำให้จำเป็นต้องใช้บริการจากธนาคารในประเทศที่สาม อย่างไรก็ตาม เมื่อเลือกโบรกเกอร์สำหรับการเทรด ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีบัญชีเงินฝากในธนาคารที่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักรหากเป็นไปได้ เพื่อความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ
เพราะ FCA ต้องการให้ธนาคารเหล่านี้คอยติดตามพฤติกรรมของโบรกเกอร์และรายงานให้กับ FCA ทราบทันที หากมีการกระทำผิด และจะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่รุนแรง ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการเทรดให้กับเทรดเดอร์เป็นสองเท่า ดังนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การที่โบรกเกอร์จะเปิดบัญชีในธนาคารชั้นนำของสหราชอาณาจักร จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก และก็กลายเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่เราควรพิจารณาเมื่อเลือกโบรกเกอร์
ตัวอย่างเช่น EBC ที่เลือกเปิดบัญชีกับ BARCLAYS ในสหราชอาณาจักร เนื่องจาก BARCLAYS มีบัญชีประเภท Corporation Banking Account ซึ่งมีข้อกำหนดว่า ธุรกิจต้องมียอดหมุนเวียนและเงินฝากมากกว่า 6.5 ล้านปอนด์ และต้องผ่านการตรวจสอบทางการเงินและประวัติอย่างเข้มงวดจากทางธนาคาร การที่โบรกเกอร์ใช้บริการจากธนาคารที่มีมาตรฐานสูงเช่นนี้ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในการดำเนินการของโบรกเกอร์มากขึ้น
3. เกณฑ์การรับรองที่เข้มงวดมาก
การขอใบอนุญาตจาก FCA ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยบริษัทที่ต้องการใบอนุญาตต้องจ่ายค่าธรรมเนียมตั้งแต่ 125,000 ถึง 730,000 ปอนด์ และต้องวางเงินประกันอีก 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวดและใช้เวลานานถึง 1.5 ปีหรือมากกว่านั้น
และที่สำคัญคือ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตจะต้องชำระในครั้งแรกทั้งหมด และเงินประกันก็ต้องเติมเต็มภายในระยะเวลากระบวนการขอใบอนุญาต อีกทั้งจะต้องฝากเงินประกันนี้ไว้ในบัญชีที่กำหนด
พูดง่าย ๆ คือ หากโบรกเกอร์ไม่มีเงินทุนหมุนเวียนระหว่าง 2.2 ถึง 3 ล้านปอนด์ ก็จะไม่สามารถผ่านการตรวจสอบได้ ในแง่ของการเงินจะมีการพูดถึงอัตราส่วนเงินสด ซึ่งปกติแล้วควรจะอยู่ที่ประมาณ 20% เมื่อเทียบกับเงินทุนหมุนเวียน สำหรับโบรกเกอร์ที่ต้องการขอใบอนุญาตจาก FCA นั้นจะต้องมีมูลค่าทรัพย์สินรวมอย่างน้อย 11-15 ล้านปอนด์ถึงจะสามารถผ่านการประเมินได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ข้อกำหนดเรื่องเงินทุนมีความสูงมาก
อย่างไรก็ตาม ต้องระวังว่า ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ใบอนุญาตการกำกับดูแลแบบเต็มรูปแบบนั้นจะได้รับการควบคุมโดย FCA อย่างเต็มที่ แต่ใบอนุญาตประเภทอื่น ๆ เช่น EEA จะไม่ได้รับการกำกับดูแลจาก FCA และเงื่อนไขก็จะผ่อนปรนกว่า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการแยกแยะประเภทของใบอนุญาต
โดยการตรวจสอบว่าโบรกเกอร์มีใบอนุญาตหรือไม่ สามารถดูได้ที่บทความที่เราได้เขียนอธิบายถึง วิธีการตรวจสอบใบอนุญาต FCA ในก่อนหน้านี้ หรือสามารถตรวจสอบได้ที่ https://register.fca.org.uk/s/
บริษัทที่ขอใบอนุญาตต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยง ความมั่นคงทางการเงิน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด รวมถึงต้องมีการตรวจสอบบัญชีจากหน่วยงานภายนอกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืนยันความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ
4. ระบบการคุ้มครองเงินลงทุนที่แข็งแกร่ง
FCA มีระบบ FSCS (Financial Services Compensation Scheme) ที่พร้อมจ่ายเงินชดเชยหากบริษัทเกิดปัญหา โดยปัจจุบันคุ้มครองสูงสุดถึง 85,000 ปอนด์ต่อบัญชี ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เงินลงทุนของพวกเขาจะได้รับการชดเชยอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ FCA ยังบังคับให้บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตต้องซื้อประกันภัยความรับผิดชอบวิชาชีพ (PI Insurance) เพื่อคุ้มครองนักลงทุนในกรณีที่เกิดความผิดพลาดหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสมจากบริษัท
FCA ได้กำหนดข้อกำหนดเกี่ยวกับการประกันภัยว่า หากรายได้ของบริษัทต่ำกว่า 3 ล้านปอนด์ จำนวนเงินประกันจะต้องไม่น้อยกว่า 500,000 ปอนด์ และแต่ละการคุ้มครองจะต้องไม่ต่ำกว่า 500,000 ปอนด์เช่นกัน หากรายได้มากกว่า 3 ล้านปอนด์ จำนวนเงินประกันจะต้องไม่น้อยกว่า 1 ล้านปอนด์ และแต่ละการคุ้มครองจะต้องไม่น้อยกว่า 650,000 ปอนด์
นอกจากนี้ FCA ยังระบุไว้อย่างชัดเจนว่า บริษัทต้องทำการซื้อประกันภัยต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดชะงัก และห้ามเพิ่มจำนวนเงินที่ต้องรับผิดชอบเอง (excess) เพื่อให้มั่นใจว่าจำนวนเงินประกันที่ถืออยู่ไม่ต่ำกว่าระดับที่กำหนด
FCA ให้ความสำคัญกับความโปร่งใส โดยกำหนดให้โบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน รายงานการตรวจสอบจากภายนอก และข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายต่อต้านการฟอกเงินอย่างครบถ้วน นอกจากนี้ FCA ยังมีระบบการบันทึกการสนทนาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและป้องกันการกระทำที่ไม่เหมาะสม
บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจาก FCA ต้องมีการจัดทำรายงานและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลและตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินงานได้ง่ายขึ้น
สรุปแล้ว FCA มีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวด ครอบคลุม และทันสมัยที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นการกำกับดูแลตลาดขนาดใหญ่ เกณฑ์การขอใบอนุญาตที่เข้มงวด ระบบการชดเชยที่เชื่อถือได้ และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส สิ่งเหล่านี้ทำให้ FCA เป็นหน่วยงานกำกับดูแลที่นักลงทุนทั่วโลกไว้วางใจและเลือกใช้บริการ



Comments
Post a Comment